ไซคลอปส์ | ตำนานเทพเจ้ากรีก

  

ไซคลอปส์

แหล่งที่มา: Wikipedai

ในตำนานเทพเจ้ากรีกและต่อมาในตำนานเทพเจ้าโรมัน ไซคลอปส์ ( / s aɪ ˈ k l oʊ p iː z / sy- KLOH -peez ; กรีก : Κύκλωπες , Kýklōpes , "ดวงตากลม" หรือ "ดวงตากลม"; ไซคลอปส์ เอกพจน์/ ˈ s aɪ k l ɒ p s / SY -klops ; Κύκλωψ , Kýklōps ) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่มีตาเดียว สามารถแบ่งกลุ่มไซคลอปส์ได้เป็น 3 กลุ่ม ใน Theogony ของเฮเซียดไซคลอปส์เป็นพี่น้องสามคน ได้แก่ บรอนเทส สเตอโรปส์ และอาร์เจส ซึ่งเป็นผู้สร้างอาวุธของซูส ซึ่งก็คือสายฟ้า ในโอดีสซีของโฮเมอร์ พวกเขาเป็นกลุ่มคนเลี้ยงแกะที่ยังไม่มีอารยธรรม ซึ่งเป็นพี่น้องของโพลีฟีมัสที่โอดีสเซียสได้พบ ไซคลอปส์ยังมีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์แห่งไมซีเนและไทรินส์อีกด้วย

ประเภท

แก้ไข

ไซคลอปส์สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่: กลุ่มเฮเซียด กลุ่มโฮเมอร์ และกลุ่มผู้สร้างกำแพง 

1. ใน Theogony ของเฮเซียด: ไซคลอปส์เป็นพี่น้องสามคน ได้แก่ บรอนเทส สเตอโรปส์ และ อาร์เจส ซึ่งเป็นบุตรของยูเรนัสและไกอาผู้สร้างอาวุธประจำตัวให้กับซูส ซึ่งก็คือสายฟ้า; ใน Odyssey 
2. ของโฮเมอร์: ไซคลอปส์เป็นกลุ่มคนเลี้ยงแกะที่ยังไม่มีอารยธรรม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โพลีฟีมัส บุตรของโพไซดอน ซึ่งโอดีสเซียสได้พบไซคลอปส์ด้วย โดยกล่าวกันว่า: พวกเขาเป็นผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์แห่งไมซีเนและไทรินส์ด้วย 
3. นักวิชาการคนหนึ่งได้อ้างอิงคำพูดของเฮลลานิคัส นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลโดยบอกเราว่า: นอกเหนือจากไซคลอปส์แห่งเฮเซียด (ซึ่งนักวิชาการเรียกพวกเขาว่าเป็น "เทพเจ้า") และไซคลอปส์แห่งโฮเมอร์แล้ว ยังมีไซคลอปส์กลุ่มที่สามอีกด้วย นั่นก็คือ ผู้สร้างกำแพงไมซีเน

ไซคลอปส์เฮซิโอดิก

แก้ไข

“The Forge of the Cyclopes” ภาพพิมพ์ของชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 16 ที่มีต้นแบบมาจากภาพวาดของทิเชียน

เฮเซียดใน Theogony (ประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล) บรรยายถึงไซคลอปส์ 3 ตน ได้แก่ บรอนเทส สเตอโรปส์ และอาร์เจส ซึ่งเป็นบุตรของยูเรนัส (ท้องฟ้า) และไกอา (โลก) และเป็นพี่น้องของไททันและฮันเดรดแฮนด์เดอร์ และมีตาเดียวอยู่กลางหน้าผาก พวกเขาสร้างสายฟ้าที่ทรงพลังที่สุดให้กับซูส และด้วยการทำเช่นนี้ ไซคลอปส์จึงมีบทบาทสำคัญในตำนานการสืบราชบัลลังก์ของกรีก ซึ่งเล่าถึงไททันโครนัสได้โค่นล้มยูเรนัสผู้เป็นบิดา และซูสก็โค่นล้มโครนัสและไททันคนอื่นๆ ของเขาได้อย่างไร และในที่สุดซูสก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้ปกครองจักรวาลคนสุดท้ายและถาวรได้อย่างไร ชื่อที่เฮเซียดเรียกพวกเขา ได้แก่ อาร์เจส (แสงสว่าง) บรอนเทส (สายฟ้า) และสเตอโรปส์ (สายฟ้า) สะท้อนถึงบทบาทพื้นฐานของพวกเขาในฐานะผู้สร้างสายฟ้า ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล ไซคลอปส์อาจถูกนำมาใช้โดยไทร์เทอุส กวีชาวสปาร์ตัน เพื่อเป็นตัวแทนของขนาดและความแข็งแกร่งอันน่าทึ่ง 

ตามคำบอกเล่าของเฮเซียดและนักปราชญ์ในตำนานอพอลโลโดรัส ไซคลอปส์ถูกจองจำโดยยูเรนัสผู้เป็นพ่อ ต่อมาซูสได้ปลดปล่อยไซคลอปส์ และพวกเขาก็ตอบแทนเขาด้วยการมอบสายฟ้าให้กับเขา ไซคลอปส์จัดหาแหล่งอาวุธจากสวรรค์ที่สะดวกให้กับเฮเซียดและนักเขียนเทววิทยาคนอื่นๆ เนื่องจากเฮเฟสตัส เทพช่างตีเหล็ก ซึ่งในที่สุดจะเข้ามารับบทบาทนั้น ยังไม่ถือกำเนิด ตามที่อพอลโลโดรัสกล่าว ไซคลอปส์ยังมอบตรีศูลให้กับโพไซดอน และมอบหมวกล่องหนให้กับฮาเดส และเหล่าเทพเจ้าก็ใช้อาวุธเหล่านี้เพื่อเอาชนะไททัน

แก้ไข

ไททันส์แรกเริ่ม
บรอนเทส สเตอโรปส์ อาร์เจส

แม้ว่า Cyclopes ดั้งเดิมของ Theogony จะเป็นอมตะ (เช่นเดียวกับพี่น้องของพวกเขาไททัน) แต่ใน Hesiodic Catalogue of Women ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาลระบุว่า พวกเขาถูกอพอลโลฆ่า 

• (ซึ่งแหล่งข้อมูลในภายหลังบอกเราว่า): แอสคลีปิอุส บุตรชายของอพอลโลถูกฆ่าด้วยสายฟ้าของซูส และอพอลโลก็ฆ่าไซคลอปส์ผู้สร้างสายฟ้าเพื่อแก้แค้น 

ตามคำบอกเล่าของนักวิชาการเกี่ยวกับ Alcestis ของยูริพิดีส นักปรัมปราในตำนานในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เฟเรไซเดสให้แรงจูงใจเดียวกัน แต่กล่าวว่า: 

• อพอลโลไม่ได้ฆ่าไซคลอปส์ แต่กลับฆ่าลูกชายของพวกเขาคนหนึ่งแทน (เขาตั้งชื่อว่า: ออร์เทส) แต่จากแหล่งข้อมูลอื่นใดไม่มีการกล่าวถึงลูกหลานของไซคลอปส์ 
• ขณะที่ชิ้นส่วนหนึ่งของพินดาร์แสดงให้เห็นว่าซูสเองคือผู้ฆ่าไซคลอปส์ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาสร้างสายฟ้าให้คนอื่น

ความสามารถของเหล่าไซคลอปส์ในฐานะช่างฝีมือได้รับการเน้นย้ำโดยเฮเซียดซึ่งกล่าวว่า "ความแข็งแกร่ง พละกำลัง และการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ในผลงานของพวกเขา" ในฐานะที่เป็นช่างฝีมือที่มีทักษะสูงทั้งตัวใหญ่และแข็งแกร่ง กวีรุ่นหลังซึ่งเริ่มต้นด้วยคัลลิมาคัส กวีในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลจินตนาการถึงไซคลอปส์ ผู้สร้างสายฟ้าของซูสในยุคดึกดำบรรพ์ กลายมาเป็นผู้ช่วยของเฮฟเฟสตัส เทพ ช่างตีเหล็ก ที่โรงตีเหล็กของเขาในซิซิลี ใต้ภูเขาเอตนา หรือบางทีอาจเป็นหมู่เกาะอีโอเลียน ที่อยู่ใกล้เคียง ในเพลงสรรเสริญอาร์เทมิส คัลลิมาคัสให้ไซคลอปส์อยู่บนเกาะลีปารีของอีโอเลียน ทำงาน "ที่ทั่งของเฮฟเฟสตัส" ทำธนูและลูกศรที่อพอลโลและอาร์เทมิสใช้; กวีละตินในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลเวอร์จิลในมหากาพย์ Aeneid ของเขากล่าวถึงไซคลอปส์: "บรอนเตส สเตอโรปส์ และไพรัคมอนแขนขาเปล่า" ทำงานหนักภายใต้การนำของวัลแคน (เฮเฟสตัส) ในถ้ำใต้ภูเขาเอตนาและหมู่เกาะอีโอเลียน เวอร์จิลบรรยายถึงไซคลอปส์ในโรงตีเหล็กของวัลแคน ซึ่งสร้างสายฟ้า รถม้าสำหรับมาร์สและเอจิสของพัลลาสโดยวัลแคนขัดจังหวะการทำงานของพวกเขาเพื่อสั่งให้ไซคลอปส์สร้างอาวุธสำหรับอีเนียส กวีละตินคนหลังจากโอวิดยังได้กล่าวถึงไซคลอปส์แห่งเฮเซียด บรอนเตส และสเตอโรปส์ (พร้อมกับไซคลอปส์ตัวที่สามชื่อแอกโมไนด์) ทำงานในโรงตีเหล็กในถ้ำซิซิลี

ตามตำนานกรีกโบราณ ไซคลอปส์เป็นผู้สร้างแท่นบูชาอันแรก ตำนานนี้กล่าวถึงการก่อกำเนิดกลุ่มดาวแท่นบูชา(อารา)บนสวรรค์ ตามตำนาน ไซคลอปส์ได้สร้างแท่นบูชาที่ซูสและเทพองค์อื่นๆ สาบานเป็นพันธมิตรกันก่อนทำสงครามกับไททัน หลังจากชัยชนะของพวกเขา “เหล่าเทพได้วางแท่นบูชาบนท้องฟ้าเพื่อเป็นการรำลึก” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของประเพณีที่มนุษย์สาบานบนแท่นบูชา “เพื่อเป็นหลักประกันความซื่อสัตย์สุจริต” ตามตำนาน 

ตามคำบอกเล่าของ Pausanias นักภูมิศาสตร์ในศตวรรษที่ 2 มีวิหารที่เรียกว่า "แท่นบูชาของไซคลอปส์" บนคอคอดโครินธ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของโพไซดอน ซึ่งจะมีการถวายเครื่องบูชาแก่ไซคลอปส์; ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ถึงลัทธิอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับไซคลอปส์ ตามเรื่องราวใน Scholia ของ Iliad (ไม่พบที่อื่น) เมื่อซูสกลืนเมทิส เธอกำลังตั้งครรภ์เอเธน่ากับไซคลอปส์: บรอนเทส 

แม้ว่าเฮเซียดจะบรรยายว่า "มีจิตใจที่ดุร้ายมาก" ( ὑπέρβιον ἦτορ ἔχοντας ) และแม้ว่าขนาดและความแข็งแกร่งที่พิเศษของพวกมันจะทำให้พวกมันสามารถใช้ความรุนแรงได้อย่างมากมาย แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าไซคลอปส์แห่งเฮเซียดมีพฤติกรรมอื่นใดนอกจากเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเหล่าเทพเจ้า

วอลเตอร์ เบิร์กเคิร์ตเสนอว่ากลุ่มหรือสังคมของเทพเจ้าที่น้อยกว่า เช่น ไซคลอปส์แห่งเฮเซียด "สะท้อนให้เห็นสมาคมลัทธิที่แท้จริง ( thiasoi ) ... อาจสันนิษฐานได้ว่าสมาคมช่างตีเหล็ก อยู่เบื้องหลัง Cabeiri , Idaian Dactyloi , Telchinesและ Cyclopes"

อาร์เจส (ไซคลอปส์)

อาร์เจส ( กรีก : Ἄργης ) เป็นหนึ่งในไซคลอปเฮซิโอดิกสามตัว ในตำนานเทพเจ้ากรีกเขาถูกเรียกในที่อื่นว่าแอกโมไนด์ หรือ ไพรัคมอน ชื่อของเขาหมายถึง "แสงสว่าง" และเป็นตัวแทนของความสว่างจากสายฟ้า

การเกิดและการหลอมสายฟ้า

แก้ไข

Arges เป็นบุตรของGaiaและUranusและพี่น้องของเขา ได้แก่ ไซคลอปส์เพื่อนร่วมเผ่า Brontes และ Steropes พร้อมด้วยไททันและ Hecatoncheires กล่าวกันว่า: ด้วยความกลัวหลังจากที่เขาเกิด Uranus ได้ขัง Arges และพี่น้องไซคลอปส์ของเขาไว้ใน Tartarus  พร้อมด้วยเหล่าร้อยมือ; ในช่วงสงครามระหว่างไททันและเทพเจ้า Arges, Brontes และ Steropes ได้รับอิสระในการสร้างสายฟ้าให้กับ Zeus ระหว่างความพยายามที่จะล้มล้างเทพเจ้า; ตามที่ Apollodorus กล่าว Arges และเพื่อนไซคลอปส์ยังได้สร้างหมวกล่องหนสำหรับ Hades และตรีศูลสำหรับ Poseidon อาวุธเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการล่มสลายของไททัน

อาจเสียชีวิตได้

แก้ไข

ในหนังสือเรื่องสตรีของเฮเซียดไซคลอปส์ทั้งสามตัว รวมถึงอาร์เจส ถูกอพอลโล สังหาร เพื่อแก้แค้นที่แอสคลีเพียส ลูกชายของเขา ถูกฟ้าผ่าตาย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีเทววิทยาของเฮเซียด ซึ่งระบุว่าไซคลอปส์เป็นอมตะ นักปราชญ์ในตำนาน ชื่อเฟเร ไซดีสแห่งเอเธนส์ได้แก้ไขความไม่สอดคล้องกันนี้โดยระบุว่าลูกชายของไซคลอปส์ถูกอพอลโลสังหาร ไม่ใช่ไซคลอปส์เอง; แหล่งข้อมูลอื่นระบุว่าซูสสังหารไซคลอปส์เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำฟ้าผ่าให้ใครนอกจากตัวเขาเอง

ลูกหลานของไกอา (โลก) และยูเรนัส (ท้องฟ้า) ตามทฤษฎีของเฮเซียด
ไกอา ยูเรนัส โอเชียนัส คริอุส ไอเอเพทัส เรีย มเนโมซินี เทธิส โคอัส ไฮเปอเรียน เธีย ธีมิส ฟีบี้ ครอนัส ไททันส์ บรอนเต้ สเตียรอยด์ อาร์เจส ไซคลอปส์ คอตตัส ไบรอาเรียส ไจเจส เฮคาตันเชเรส

โฮเมอร์ไซคลอปส์

แก้ไข

โอดิสเซียสและลูกเรือของเขาทำให้โพลีฟีมัส ตาบอด รายละเอียดของ โถแอ มโฟ ราแบบโปรโต-แอตติกประมาณ 650 ปีก่อนคริสตกาลEleusisพิพิธภัณฑ์โบราณคดี Inv. 2630

ในตอนหนึ่งของ โอดีสซีของโฮเมอร์ (ประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล) ฮีโร่โอดีสเซียสได้พบกับไซคลอปส์ โพลีฟีมัสลูกชายของโพไซดอนยักษ์กินคนตาเดียวที่อาศัยอยู่กับไซคลอปส์คนอื่น ๆ ในดินแดนอันห่างไกล ความสัมพันธ์ระหว่างไซคลอปส์เหล่านี้และไซคลอปส์ของเฮเซียดยังไม่ชัดเจน โฮเมอร์บรรยายกลุ่มไซคลอปส์ที่แตกต่างกันมาก ซึ่งต่างจากช่างฝีมือผู้ชำนาญและเชื่อฟังของเฮเซียด ไซคลอปส์ของโฮเมอร์อาศัยอยู่ใน "โลกของมนุษย์" มากกว่าในหมู่เทพเจ้า ดังที่สันนิษฐานว่าอยู่ในTheogony ^ไซคลอปส์ของโฮเมอร์ถูกนำเสนอเป็นคนเลี้ยงแกะที่ไร้อารยธรรม ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำ คนป่าเถื่อน ไม่สนใจซูส พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเกษตร เรือ หรืองานฝีมือ พวกเขาอาศัยอยู่แยกกันและไม่มีกฎหมายใด ๆ

นักเขียนบทละครในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ยูริพิดีสยังเล่าเรื่องการพบกันระหว่างโอดีสเซียสกับโพลีฟีมัสในบทละครซาเทียร์เรื่อง ไซคลอปส์ ไซคลอ ปส์ของยูริพิดีส เช่นเดียวกับโฮเมอร์ เป็นคนเลี้ยงแกะที่อาศัยอยู่ในถ้ำที่ไม่มีวัฒนธรรม พวกเขาไม่มีเกษตรกรรม ไม่มีไวน์ และดำรงชีวิตด้วยนม ชีส และเนื้อแกะ พวกเขาใช้ชีวิตโดดเดี่ยว และไม่มีรัฐบาล พวกเขาไม่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า ฆ่าและกินทุกคนที่มาสู่ดินแดนของพวกเขา ในขณะที่โฮเมอร์ไม่ได้บอกว่าไซคลอปส์ตัวอื่นมีลักษณะและพ่อแม่เหมือนกับโพลีฟีมัสหรือไม่ ยูริพิดีสก็พูดชัดเจนโดยเรียกไซคลอปส์ว่า "ลูกชายตาเดียวของโพไซดอน" และในขณะที่โฮเมอร์ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับที่ตั้งของพวกเขา ยูริพิดีสก็ระบุที่ตั้งของไซคลอปส์บนเกาะซิซิลีใกล้กับภูเขาเอตนา

เช่นเดียวกับยูริพิดีส เวอร์จิลได้ให้ไซคลอปส์แห่งโพลีฟีมัสอาศัยอยู่บนเกาะซิซิลีใกล้กับเอตนา สำหรับเวอร์จิล ไซคลอปส์โฮเมอร์เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสมาชิกของเผ่าไซคลอปส์เดียวกับบรอนเตสและสเตอโรปส์ของเฮเซียด ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง

ผู้สร้างกำแพงไซโคลเปียน

แก้ไข

กำแพง 'ไซโคลเปียน'ที่ไมซีเน

ไซคลอปส์ยังกล่าวกันว่าเป็นผู้สร้างกำแพงที่เรียกว่า 'ไซคลอปส์'ของไมซีเน ไท รินส์และอาร์โกส [ ^{42 ] แม้ว่า}พวกเขาจะสามารถมองได้ว่าแตกต่างกัน แต่ผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์มีลักษณะร่วมกันหลายประการกับไซคลอปส์แห่งเฮเซียด ทั้งสองกลุ่มเป็นช่างฝีมือที่มีทักษะเหนือธรรมชาติ มีพละกำลังมหาศาล และอาศัยอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์^[ 43 ]ดูเหมือนว่าไซคลอปส์ผู้สร้างเหล่านี้จะใช้อธิบายการสร้างกำแพงอันมหึมาที่ไมซีเนและไทรินส์ ซึ่งประกอบด้วยหินก้อนใหญ่ที่ดูใหญ่และหนักเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะเคลื่อนย้ายได้^[ 44 ]

ช่างก่อสร้างผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีชื่อเสียงในสมัยโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลเป็นอย่างน้อย^[ 45 ]กวีพินดาร์ได้เล่าให้เฮราคลีสขับต้อนวัวของเกอริออนผ่าน "ประตูไซคลอปส์" ของยูริสธีอุส กษัตริย์แห่งทีริน^[ 46 ]เฟเรไซดีสนักปราชญ์ในตำนานกล่าวว่าเพอร์ซิอุสได้นำไซคลอปส์มาด้วยจากเซริฟอสไปยังอาร์กอสซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างกำแพงไมซีเน^[ 47 ] โพรเอทัสกษัตริย์ในตำนานของอาร์กอส โบราณ กล่าวกันว่าได้นำกลุ่มไซคลอปส์เจ็ดตัวจากไลเซียมาสร้างกำแพงไทริน^[ 48 ]

นิโคฟอน กวีการ์ตูนในช่วงปลายศตวรรษที่ 5 และต้นศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลเขียนบทละครชื่อว่าCheirogastoresหรือEncheirogastores ( มือถึงปาก ) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์เหล่านี้^[ 49 ]นักพจนานุกรมโบราณอธิบายชื่อเรื่องว่าหมายถึง "ผู้ที่เลี้ยงตัวเองด้วยแรงงานมือ" และตามคำบอกเล่าของยูสตาธิอุสแห่งเทสซาโลนิกาคำนี้ใช้เพื่ออธิบายผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์ ในขณะที่ "มือถึงปาก" เป็นหนึ่งในสามประเภทของไซคลอปส์ที่ scholia แยกแยะจากAelius Aristides [ ^{50 ] ใน} ทำนองเดียวกัน อาจมาจากเรื่องตลกของนิโคฟอน สตราโบนักภูมิศาสตร์ชาวกรีกในศตวรรษแรกกล่าวว่าไซคลอปส์เหล่านี้ถูกเรียกว่า "มือท้อง" ( gasterocheiras ) เพราะพวกเขาหาอาหารด้วยการทำงานด้วยมือ^[ 51 ]

พลินีผู้เฒ่านักปรัชญาธรรมชาติในศตวรรษแรก ได้รายงาน ในหนังสือ Natural History ของเขา ว่า มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ว่า อริสโตเติลเป็นผู้ประดิษฐ์หอคอยที่ทำด้วยอิฐ^[ 52 ]ในผลงานเดียวกันนี้ พลินียังกล่าวถึงไซคลอปส์ด้วยว่าเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ใช้เหล็ก^[ 53 ]เช่นเดียวกับบรอนซ์^[ 54 ]นอกจากกำแพงแล้ว ยังมีอนุสรณ์สถานอื่นๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นผลงานของไซคลอปส์ด้วย ตัวอย่างเช่นเปาซาเนียสกล่าวว่าที่อาร์กอสมี "หัวของเมดูซ่าที่ทำด้วยหิน ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของไซคลอปส์" ^[ 55 ]

แหล่งข้อมูลหลัก

แก้ไข

เฮเซียด

แก้ไข

ตามทฤษฎีเทววิทยาของเฮเซียดยูเรนัส(ท้องฟ้า) ผสมพันธุ์กับไกอา (โลก) และให้กำเนิดบุตร 18 คน^[ 56 ] คนแรกคือ ไททัน 12 ตนถัดมาคือไซคลอปส์ตาเดียว 3 ตน:

จากนั้น [ไกอา] ก็ให้กำเนิดไซคลอปส์ ผู้มีจิตใจดุร้ายมาก บรอนเทส (สายฟ้า) และสเตอโรเปส (สายฟ้า) และอาร์เจสผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง ผู้ที่ส่งฟ้าร้องให้ซูสและสร้างสายฟ้า พวกนี้เหมือนกับเทพเจ้าในด้านอื่นๆ แต่มีตาเพียงข้างเดียวอยู่ตรงกลางหน้าผาก และพวกเขาถูกเรียกชื่อด้วยชื่อ ไซคลอปส์ (ตาเป็นวงกลม) เนื่องจากมีตารูปวงกลมเพียงข้างเดียวอยู่ที่หน้าผากของพวกเขา ความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่ง และการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ในผลงานของพวกเขา

หลังจากไซคลอปส์ ไกอาก็ได้ให้กำเนิดพี่น้องสัตว์ประหลาดอีกสามคน นั่นก็คือเฮคาโทนเชอเรสหรือยักษ์ร้อยมือ ยูเรนัสเกลียดชังลูกสัตว์ประหลาดของเขา^[ 59 ]และทันทีที่ลูกแต่ละคนเกิดมา เขาก็ขังพวกเขาเอาไว้ใต้ดิน ที่ไหนสักแห่งลึกเข้าไปในไกอา^[ 60 ] ในที่สุด ไททัน โครนัสลูกชายของยูเรนัสก็ได้ทำการตอนยูเรนัส และกลายเป็นผู้ปกครองจักรวาลคนใหม่ แต่เขาไม่ได้ปลดปล่อยพี่น้องของเขา ไซคลอปส์และเฮคาโทนเชอเรส จากการถูกจองจำในทาร์ทารัส^[ 61 ]

จากการล้มเหลวนี้ ไกอาได้ทำนายไว้ว่าในท้ายที่สุดโครนัสจะถูกโค่นล้มโดยลูกคนหนึ่งของเขา เช่นเดียวกับที่เขาโค่นล้มพ่อของเขาเอง เพื่อป้องกันสิ่งนี้ เมื่อลูกๆ ของเขาแต่ละคนเกิดมา โครนัสจึงกลืนพวกเขาทั้งตัว ในฐานะเทพเจ้า พวกเขาไม่ได้ถูกฆ่า แต่ถูกขังไว้ในท้องของเขา รีอา ภรรยาของเขาขอคำแนะนำจากแม่เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียลูกๆ ทั้งหมดด้วยวิธีนี้ ไกอาจึงแนะนำให้เธอให้หินที่ห่อด้วยผ้าอ้อมแก่โครนัส ด้วยวิธีนี้ ซูสจึงรอดพ้นจากชะตากรรมของพี่น้องที่โตกว่า และถูกแม่ซ่อนตัวอยู่ เมื่อเขาโตขึ้น ซูสก็บังคับให้พ่อของเขาอาเจียนพี่น้องของเขาออกมา ซึ่งก่อกบฏต่อไททัน ซูสปล่อยไซคลอปส์และเฮคาทอนเชียเรส ซึ่งกลายมาเป็นพันธมิตรของเขา ในขณะที่ยักษ์ร้อยมือต่อสู้เคียงข้างซูสและพี่น้องของเขา ไซคลอปส์ก็มอบอาวุธสำคัญของตนให้กับซูส ซึ่งก็คือสายฟ้า ด้วยความช่วยเหลือดังกล่าว ทำให้เขาสามารถโค่นล้มไททันได้ในที่สุด และสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองจักรวาล^[ 62 ]

โฮเมอร์

แก้ไข

จิตรกรรมฝาผนังของโอดีสซีอุสและไซคลอปส์ในหลุมฝังศพของออร์คัสทาร์ควิเนีย ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล

โพลีฟีมัสผู้ตาบอดกำลังมองหาการแก้แค้นโอดีสเซียส: ภาพวาดของกีโด เรนี ใน พิพิธภัณฑ์คาปิโตลิเน

ในหนังสือเล่มที่ 9 ของโอดิสซีโอดิสเซียสได้บรรยายให้ชาวฟีเซียน ฟัง ถึงการพบกันระหว่างเขาและไซคลอปส์ โพลีฟีมัส [ ^{63 ] หลังจาก}ออกจากดินแดนแห่งผู้เสพดอกบัวโอดิสเซียสกล่าวว่า "พวกเราล่องเรือต่อไปด้วยใจที่โศกเศร้า และได้มาถึงดินแดนแห่งไซคลอปส์" ^[ 64 ] โฮเมอร์ได้บรรยายถึงไซคลอปส์ไว้แล้ว (ในหนังสือเล่มที่ 6) ว่าเป็น "คนหยิ่งผยองที่ปล้นสะดม [เพื่อนบ้านของพวกเขาซึ่งเป็นชาวฟีเซียน] อย่างต่อเนื่อง" ^[ 65 ]ขับไล่ชาวฟีเซียนออกจากบ้าน ในหนังสือเล่มที่ 9 โฮเมอร์ได้บรรยายไซคลอปส์อย่างละเอียดมากขึ้นดังนี้:

ชนชาติที่หยิ่งยโสและไร้กฎหมาย ซึ่งเชื่อในเทพเจ้าอมตะ ไม่ปลูกอะไรด้วยมือหรือไถ แต่สิ่งเหล่านี้ก็งอกเงยขึ้นมาโดยไม่ต้องหว่านหรือไถ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และเถาวัลย์ที่ให้ผลเป็นพวงองุ่นอันอุดมสมบูรณ์ และฝนของซุสก็ทำให้พวกมันเติบโต พวกเขาไม่มีการประชุมสภาหรือตั้งกฎหมาย แต่พวกเขาอาศัยอยู่บนยอดเขาสูงในถ้ำกลวง และแต่ละคนก็เป็นผู้บัญญัติกฎหมายให้กับลูกๆ และภรรยาของตน และพวกเขาไม่คำนึงถึงกันและกัน^[ 66 ]

ตามที่โฮเมอร์กล่าวไว้ ไซคลอปส์ไม่มีเรือ ช่างต่อเรือ หรือช่างฝีมืออื่นๆ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมเลย^[ 67 ]พวกเขาไม่นับถือซูสหรือเทพเจ้าองค์อื่น เพราะไซคลอปส์ถือว่าตนเอง "ดีกว่าพวกเขาอย่างมาก" ^[ 68 ]

โฮเมอร์กล่าวว่าโพลีฟีมัสผู้ "เปรียบเสมือนเทพเจ้า" บุตรของโพไซดอนและนางไม้ทูซา ธิดาของฟอร์ซิสเป็น "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาไซคลอปส์" ^[ 69 ]โฮเมอร์บรรยายโพลีฟีมัสว่าเป็นคนเลี้ยงแกะที่:

ไม่ปะปนกับผู้อื่น แต่แยกตัวออกไป มีใจมุ่งมั่นในการไม่เคารพกฎหมาย เพราะเขาถูกสร้างให้เป็นสัตว์ประหลาดที่น่าอัศจรรย์ และไม่เหมือนมนุษย์ที่ดำรงชีวิตด้วยขนมปัง แต่เหมือนยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ ซึ่งโดดเด่นจนมองเห็นได้เพียงลำพัง แตกต่างจากภูเขาอื่นๆ^[ 70 ] ... [และเป็น] คนป่าเถื่อนที่ไม่รู้จักความยุติธรรมหรือกฎหมาย^[ 71 ]

แม้ว่าโฮเมอร์จะไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าโพลีฟีมัสมีตาข้างเดียว แต่เพื่อให้คำอธิบายเรื่องการทำให้ตาบอดของเขาฟังดูสมเหตุสมผล เขาก็ต้องเป็นเช่นนั้น^[ 72 ]หากโฮเมอร์ตั้งใจให้ไซคลอปส์ตัวอื่นๆ มีลักษณะเหมือนโพลีฟีมัส (ซึ่งมักจะเป็นกัน) ไซคลอปส์ตัวอื่นๆ ก็คงจะเป็นลูกชายของโพไซดอนที่มีตาข้างเดียวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โฮเมอร์ไม่ได้พูดอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับพ่อแม่หรือรูปลักษณ์ภายนอกของไซคลอปส์ตัวอื่นๆ^[ 73 ]

ยูริพิดีส

แก้ไข

ไซคลอปส์แห่งเฮเซียด: ผู้ประดิษฐ์สายฟ้าของซูส ไซคลอปส์แห่งโฮเมอร์: พี่น้องของโพลีฟีมัส และผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์ ล้วนปรากฏตัวในบทละครของ ยูริพิดีสนักเขียนบทละครในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลในบทละครเรื่อง Alcestis ของเขา ซึ่งเล่าให้เราฟังว่าไซคลอปส์ผู้ประดิษฐ์สายฟ้าของซูสถูกอพอลโลสังหาร อพอลโลได้อธิบายไว้ในบทนำของบทละครเรื่องนี้ว่า:

บ้านของ Admetus! ในตัวคุณ ฉันนำตัวเองมาลิ้มรสขนมปังแห่งการรับใช้ที่ต่ำต้อย แม้ว่าฉันจะเป็นพระเจ้าก็ตาม ซูสเป็นสาเหตุ เขาฆ่าแอสคลีเปียส ลูกชายของฉัน โดยฟาดสายฟ้าเข้าที่หน้าอกของเขา และด้วยความโกรธ ฉันจึงสังหารไซคลอปส์ที่หลอมไฟของซูส ซูสลงโทษฉันด้วยการทำอย่างนี้ ซึ่งทำให้ฉันต้องกลายเป็นทาสในบ้านของมนุษย์^[ 74 ]

บทละคร ไซคลอปส์ของยูริพิดีสเล่าถึง การพบกันของ โอดีสซีอุสกับไซคลอปส์ โพลีฟีมัส ซึ่ง เล่าขานกันอย่างโด่งดังในโอดีสซีของโฮเมอร์เรื่องนี้เกิดขึ้นบนเกาะซิซิลีใกล้กับภูเขาไฟเอตนาซึ่งตามบทละครระบุว่า "ไซคลอปส์ผู้สังหารมนุษย์ซึ่งเป็นบุตรชายตาเดียวของโพไซดอนอาศัยอยู่ในถ้ำอันห่างไกล" ^[ 75 ]ยูริพิดีสบรรยายถึงดินแดนที่พี่น้องของโพลีฟีมัสอาศัยอยู่ว่าไม่มี "กำแพงและปราการเมือง" และเป็นสถานที่ที่ "ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่" ^[ 76 ]ไซคลอปส์ไม่มีผู้ปกครองและรัฐบาล "พวกเขาเป็นพวกโดดเดี่ยว ไม่มีใครเป็นข้ารับใช้ของใคร" ^[ 77 ]พวกเขาไม่ปลูกพืชผล ใช้ชีวิตเพียง "ด้วยนมและชีสและเนื้อแกะ" ^[ 78 ]พวกเขาไม่มีไวน์ "ดังนั้นดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่จึงไม่รู้จักการเต้นรำ" ^[ 79 ]พวกเขาไม่แสดงความเคารพต่อคุณค่าสำคัญของกรีกเกี่ยวกับเซเนีย ("มิตรภาพกับแขก") เมื่อโอดีสเซียสถามว่าพวกเขาเคร่งศาสนาและต้อนรับแขกแปลกหน้าหรือไม่ ( φιλόξενοι δὲ χὤσιοι περὶ ξένους ) เขาได้รับคำตอบว่า: "พวกเขายืนยันว่าเนื้อของคนแปลกหน้าอร่อยที่สุด ... ทุกคนที่มาที่นี่ถูกฆ่าตายหมด" ^[ 80 ]

บทละครของยูริพิดีสหลายเรื่องยังอ้างอิงถึงผู้สร้างกำแพงไซคลอปส์ ยูริพิดีสเรียกกำแพงของพวกเขาว่า "สูงเท่าสวรรค์" ( οὐράνια ) ^[ 81 ]บรรยายถึง "รากฐานของไซคลอปส์" ของไมซีเนว่า "ติดตั้งแน่นด้วยดิ่งสีแดงและค้อนช่างก่อสร้าง" ^[ 82 ]และเรียกไมซีเนว่า "เตาไฟที่สร้างโดยไซคลอปส์" ^[ 83 ]เขาเรียกอาร์กอสว่า "เมืองที่สร้างโดยไซคลอปส์" ^[ 84 ]อ้างถึง "วิหารที่ไซคลอปส์สร้าง" ^[ 85 ]และบรรยายถึง "ป้อมปราการของเพอร์ซิอุส" ว่าเป็น "ผลงานของมือไซคลอปส์" ^[ 86 ]

คาลลิมาคัส

แก้ไข

สำหรับกวี Callimachusในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลCyclopes Brontes, Steropes และ Arges แห่งยุคเฮเซียดได้กลายมาเป็นผู้ช่วยในโรงตีเหล็กของเทพเจ้าแห่งการตีเหล็กHephaestus Callimachus ได้ให้ Cyclopes สร้าง ธนู ลูกศร และถุงใส่ลูกธนูให้กับ Artemisเช่นเดียวกับที่พวกเขา (เห็นได้ชัดว่า) ทำของApollo [ ^{87 ] Callimachus}ระบุตำแหน่งของ Cyclopes บนเกาะLipariซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะ Aeolianในทะเล Tyrrhenianนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของซิซิลีซึ่ง Artemis พบพวกมัน "ที่ทั่งของ Hephaestus" ซึ่งกำลังสร้างรางน้ำม้าสำหรับ Poseidon:

และเหล่านางไม้ก็ตกใจกลัวเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเหมือนหน้าผาของออสซ่า พวกมันมีตาเดียวใต้คิ้ว ราวกับโล่ที่ทำจากหนังสี่ชั้น จ้องมองอย่างน่ากลัวจากด้านล่าง และเมื่อพวกมันได้ยินเสียงทั่งดังก้อง และเสียงแตรดังกึกก้อง และเสียงครวญครางอันหนักหน่วงของไซคลอปส์เอง เพราะเอตนาร้องเสียงดัง และทรินาเซีย ที่อยู่อาศัยของชาวซิคาเนีย ร้องตามอิตาลีเพื่อนบ้านของพวกเขา และไซรอนอสก็ส่งเสียงดังกึกก้องเช่นกัน เมื่อพวกมันยกค้อนขึ้นเหนือไหล่และตีทองแดงที่เรืองแสงจากเตาหรือเหล็กด้วยจังหวะที่เร้าใจ พวกมันทำงานหนักมาก ดังนั้น ลูกสาวของโอเชียนัสจึงไม่สามารถมองหน้าพวกเธอได้อย่างสบายใจ และไม่สามารถทนกับเสียงดังในหูของพวกเธอได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับพวกเธอ! แม้แต่ลูกสาวของผู้มีบุญก็ยังมองโดยไม่สะท้าน แม้ว่าจะผ่านวัยเด็กมามากแล้วก็ตาม แต่เมื่อหญิงสาวคนใดไม่เชื่อฟังแม่ของเธอ แม่จะเรียกไซคลอปส์มาหาลูกของเธอ—อาร์เจสหรือสเตอโรพีส และเฮอร์มีสก็ปรากฏตัวขึ้นในบ้านพร้อมกับเปื้อนขี้เถ้าที่เผาไหม้ และเฮอร์มีสก็เล่นตลกกับเด็กทันที และเธอก็วิ่งเข้าไปนั่งบนตักของแม่โดยเอามือปิดตาไว้ แต่เธอ สาวน้อย เมื่อก่อนนี้ เธอเพิ่งอายุได้เพียงสามขวบ เมื่อเลโตเข้ามาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนตามคำสั่งของเฮเฟสตัสว่าเขาอาจมอบมือให้เธอ และบรอนเตสก็คุกเข่าอย่างแข็งแรงของเธอ เธอได้ถอนขนที่รุงรังของหน้าอกใหญ่ของเขาและฉีกมันออกด้วยกำลัง และจนถึงทุกวันนี้ ส่วนกลางของหน้าอกของเขายังคงไม่มีขน เช่นเดียวกับตอนที่โรคผิวหนังเกาะขมับของผู้ชายและกัดกินผม^[ 88 ]

แล้วอาร์เทมิสก็ถามว่า:

ไซคลอปส์ เจ้าจงประดิษฐ์ธนูและลูกศรแบบไซดอนและหีบกลวงสำหรับลูกธนูของข้าด้วย เพราะข้าก็เป็นลูกของเลโตเช่นเดียวกับอพอลโล และหากข้าใช้ธนูสังหารสัตว์ป่าหรือสัตว์ประหลาด ไซคลอปส์ก็จะกินสัตว์เหล่านั้น^[ 89 ]

เวอร์จิล

แก้ไข

กวีชาวโรมันในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลเวอร์จิลดูเหมือนจะรวมไซคลอปส์แห่งเฮเซียดเข้ากับไซคลอปส์แห่งโฮเมอร์ โดยให้พวกเขาอาศัยอยู่ร่วมกันในส่วนเดียวกันของซิซิลี^[ 90 ]ในมหากาพย์ภาษาละตินเรื่องAeneidเวอร์จิลให้ฮีโร่Aeneasเดินตามรอยเท้าของOdysseusฮีโร่ในOdyssey ของโฮเมอร์ เมื่อเข้าใกล้เกาะซิซิลีและภูเขาเอตนาในหนังสือเล่มที่ 3 ของAeneidเอเนียสสามารถเอาชีวิตรอดจากCharybdis ที่อันตรายได้ และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินก็มาถึงดินแดนของไซคลอปส์ ในขณะที่ "เอตนาที่อยู่ใกล้ๆ ก็คำราม" ^[ 91 ]ไซคลอปส์ถูกบรรยายว่า "มีรูปร่างและขนาดเหมือนโพลีฟีมัส ... ไซคลอปส์ตัวประหลาดอีกกว่าร้อยตัว [ที่] อาศัยอยู่ตลอดแนวชายฝั่งโค้งเหล่านี้และเดินเตร่ไปตามภูเขาสูง" ^[ 92 ]หลังจากหลบหนีจากโพลีฟีมัสได้อย่างหวุดหวิด ไอเนียสก็เล่าถึงการตอบสนองต่อ "เสียงคำรามอันยิ่งใหญ่" ของไซคลอปส์ว่า:

เผ่าไซคลอปส์ที่ตื่นขึ้นจากป่าและภูเขาสูง รีบเร่งไปที่ท่าเรือและรุมกันที่ชายฝั่ง เราเห็นพวกเขายืนนิ่งด้วยสายตาที่จ้องเขม็ง พี่น้องชาวเอทเนียส หัวของพวกเขาตั้งตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับที่บนยอดเขา ต้นโอ๊กที่สูงตระหง่านหรือต้นไซเปรสหุ้มกรวยยืนเป็นกลุ่ม เป็นป่าสูงของเทพเจ้าจูปิเตอร์หรือป่าไดอาน่า^[ 93 ]

ต่อมาในหนังสือเล่มที่ 8 ของบทกวีเดียวกัน เวอร์จิลได้ให้ไซโคลปส์บรอนเตสและสเตอโรปส์แห่งเฮเซียด พร้อมกับไซโคลปส์ตัวที่สามซึ่งเขาตั้งชื่อว่าไพรัคมอน ทำงานในเครือข่ายถ้ำที่กว้างขวางทอดยาวจากภูเขาเอตนาไปจนถึงหมู่เกาะอีโอเลียน [ ^{94 ] ใน}ฐานะผู้ช่วยของวัลแคน เทพช่างตีเหล็กพวกเขาตีเหล็กเส้นต่าง ๆ สำหรับเทพเจ้า: สายฟ้าสำหรับดาวพฤหัสบดี รถม้าสำหรับดาวอังคารและชุดเกราะสำหรับมิเนอร์วา :

ในถ้ำอันกว้างใหญ่ ไซคลอปส์กำลังตีเหล็กอยู่ บรอนเตส สเตอโรปส์ และไพรัคมอนที่ขาเปล่า พวกเขามีสายฟ้าที่มือของพวกเขาสร้างรูปร่างขึ้นมา เหมือนกับสายฟ้าที่พระบิดาขว้างลงมาจากสวรรค์บนโลก บางส่วนขัดเงาแล้ว ในขณะที่บางส่วนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาเพิ่มลูกเห็บบิดเบี้ยวสามลูกเข้าไป สามลูกเป็นเมฆน้ำ สามลูกเป็นเปลวไฟสีแดงก่ำ และสามลูกเป็นลมใต้ที่มีปีก ตอนนี้ พวกมันกำลังผสานเข้ากับงานอันน่าสะพรึงกลัว เสียง ความกลัว และความโกรธแค้นด้วยเปลวไฟที่ไล่ตาม ในที่อื่น พวกมันกำลังรีบเร่งไปที่มาร์สด้วยรถศึกและล้อบิน ซึ่งมาร์สใช้ปลุกผู้คนและเมืองต่างๆ และด้วยเกล็ดสีทองของงูที่กำลังขัดเงาเกราะป้องกันที่น่ากลัว เกราะของพัลลาสผู้โกรธเกรี้ยว งูที่ถักทอกัน และบนหน้าอกของเทพธิดา กอร์กอนเอง โดยมีคอที่ถูกตัดขาดและดวงตาที่หมุนไปมา^[ 95 ]

อพอลโลโดรัส

แก้ไข

นักปราชญ์ด้านตำนานเทพ อพอลโลโด รัส ได้บันทึกเรื่องราวของไซคลอปส์แห่งเฮเซียดไว้คล้ายกับเรื่องราวของเฮเซียด แต่มีความแตกต่างบางประการและมีรายละเอียดเพิ่มเติม^[ 96 ]ตามคำบอกเล่าของอพอลโลโดรัส ไซคลอปส์เกิดหลังตระกูลฮันเดรดแฮนด์เดอร์ แต่ก่อนไททัน (ไม่เหมือนเฮเซียดที่ทำให้ไททันเป็นพี่คนโตและฮันเดรดแฮนด์เดอร์เป็นน้องคนเล็ก) ^[ 97 ]

ยูเรนัสได้ผูกมัดพี่น้องร้อยแฮนด์และไซคลอปส์ไว้ และโยนพวกเขาทั้งหมดลงในทาร์ทารัส "สถานที่อันมืดมิดในฮาเดสซึ่งอยู่ไกลจากโลกมากเท่ากับที่โลกอยู่ไกลจากท้องฟ้า" แต่ดูเหมือนว่าไททันจะได้รับอนุญาตให้เป็นอิสระ (ไม่เหมือนในเฮเซียด) ^[ 98 ]เมื่อไททันโค่นล้มยูเรนัส พวกเขาก็ปล่อยพี่น้องร้อยแฮนด์และไซคลอปส์ (ไม่เหมือนในเฮเซียดที่ดูเหมือนว่าพวกเขายังคงถูกจองจำอยู่) และแต่งตั้งโครนัสเป็นผู้ปกครอง^[ 99 ]แต่โครนัสได้ผูกมัดพี่น้องทั้งหกอีกครั้ง และจองจำพวกเขาไว้ในทาร์ทารัส^[ 100 ]

ตามบันทึกของเฮเซียด รีอาช่วยซูสจากการถูกโครนัสกลืนกิน และในที่สุดซูสก็สามารถปลดปล่อยพี่น้องของเขาได้ และพวกเขาก็ร่วมกันทำสงครามกับไททัน^[ 101 ]ตามคำบอกเล่าของอพอลโลโดรัส ในปีที่สิบของสงครามนั้น ซูสได้เรียนรู้จากไกอาว่าเขาจะได้รับชัยชนะหากเขามีชาวฮันเดรดแฮนด์และไซคลอปส์เป็นพันธมิตร ดังนั้น ซูสจึงสังหารแคมเป ผู้พิทักษ์ของพวกเขา (รายละเอียดที่ไม่พบในเฮเซียด) และปล่อยพวกเขาไป และนอกเหนือจากการมอบสายฟ้าให้กับซูส (เช่นเดียวกับในเฮเซียด) ไซคลอปส์ยังมอบตรีศูลให้กับโพไซดอนและมอบหมวกกันน็อคให้กับฮาเดส (ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหมวกล่องหน แบบเดียว กับที่เอเธน่ายืมมาในอีเลียด ) และ "ด้วยอาวุธเหล่านี้ เหล่าเทพเจ้าจึงเอาชนะไททันได้" ^[ 102 ]

อพอลโลโดรัสยังกล่าวถึงหลุมศพของเกราเอสตัส "ไซคลอปส์" ที่เอเธนส์ ซึ่งในสมัยของกษัตริย์อีเจียสชาวเอเธนส์ได้สังเวยลูกสาวของไฮยาซินธ์^[ 103 ]

นอนนัส

แก้ไข

Dionysiacaแต่งขึ้นในศตวรรษที่ 4 หรือ 5 ก่อนคริสตกาล เป็นบทกวีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ยาวนานที่สุดจากยุคโบราณ ซึ่งมีความยาว 20,426 บรรทัด บทกวีนี้เขียนโดย Nonnus กวี ในสำเนียงโฮเมอร์และมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับชีวิตของ Dionysus บท กวีนี้บรรยายถึงสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างกองกำลังของ Dionysus กับกองกำลังของ Deriades กษัตริย์อินเดีย ในหนังสือเล่มที่ 28 ของ Dionysiacaไซคลอปส์ได้ร่วมมือกับกองกำลังของ Dionysian และพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่และบดขยี้กองกำลังของกษัตริย์อินเดียได้เกือบหมด ^[ 104 ]

การเปลี่ยนแปลงของโพลีฟีมัส

แก้ไข

บทความหลัก: โพลีฟีมัส

โพลีฟีมัสได้รับจดหมายรักจากกาลาเทีย ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังจากเมืองปอมเปอีในศตวรรษที่ 1

ภาพวาดของไซคลอปส์ โพลีฟีมัส แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับประเภทวรรณกรรมที่เขาปรากฏตัว และทำให้เขามีตัวตนที่เป็นอิสระจากคนเลี้ยงสัตว์โฮเมอร์ที่โอดีสเซียสพบ ในโอดีสซีเขาเป็นสัตว์ประหลาดกินคนซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่ไม่ระบุ หลายร้อยปีต่อมาบทกวีของฟิโลเซนัสแห่งไซเธอราตามด้วยเรื่องราวหลายตอนโดยกวีชาวกรีกที่เลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพ ได้ทำให้เขากลายเป็นคนรักของนางไม้แห่งน้ำกาลาเทียที่ตลกขบขันและไม่ประสบความสำเร็จ ในช่วงเวลาดังกล่าว เขาพยายามเกี้ยวพาราสีความรักของเขาด้วยเครื่องดนตรีซิทาราหรือเครื่องดนตรีประเภทปี่แพน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนเกาะซิซิลี และกวีละติน ชื่อโอวิดก็ได้แต่งเรื่องโศกนาฏกรรมความรักระหว่างโพลีฟีมัสและกาลาเทียที่เล่าไว้ในเมทามอร์โฟเซสที่นี่ด้วย^[ 105 ]ต่อมาประเพณีก็ทำให้เขากลายเป็นสามีผู้ประสบความสำเร็จของกาลาเทียและบรรพบุรุษของเผ่าเซลติกและอิลลิเรียนในที่สุด^[ 106 ]

ที่ตั้ง

แก้ไข

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ไซคลอปส์มีความเกี่ยวข้องกับเกาะซิซิลีหรือหมู่เกาะภูเขาไฟเอโอเลียนนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของซิซิลี นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลทูซิดิดีสกล่าวว่า "ผู้อยู่อาศัยกลุ่มแรก" ของซิซิลีนั้นเชื่อกันว่าเป็นไซคลอปส์และเลสทรีโกเนส (กลุ่มยักษ์กินคนอีกกลุ่มหนึ่งที่โอดีสซีอุสพบในโอดิสซี ของโฮเมอร์ ) ^[ 107 ]ทูซิดิดีสยังรายงานความเชื่อในท้องถิ่นว่าเฮฟเฟสตัส (พร้อมกับผู้ช่วยไซคลอปส์?) มีโรงตีเหล็กบนเกาะวัลคาโน ของเอโอ เลียน^[ 108 ]

"ไซคลอปส์" จากแผนที่โลกของUrbano Monti ปี 1587 ^[ 109 ]

ยูริพิดีสได้ระบุตำแหน่งของไซคลอปส์ของโอดีสซีอุสบนเกาะซิซิลีใกล้กับภูเขาไฟเอตนา [ ^{110 ] และ}ในบทละครเดียวกันนั้น กล่าวถึงเฮเฟสทัสว่าเป็น "เจ้าแห่งเอตนา" ^[ 111 ]กวีคัลลิมาคัสได้ระบุตำแหน่งของไซคลอปส์บนเกาะลิปารีซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเอโอเลียน^[ 112 ]เวอร์จิลเชื่อมโยงไซคลอปส์ของเฮเซียดและโฮเมอร์เข้ากับซิซิลี เขาให้ผู้สร้างสายฟ้า "บรอนเตส สเตอโรปส์ และไพรัคมอนขาเปล่า" ทำงานในถ้ำขนาดใหญ่ที่ทอดยาวใต้ดินจากภูเขาไฟเอตนาไปจนถึงเกาะวัลคาโน^[ 113 ]ในขณะที่พี่น้องไซคลอปส์ของโพลีฟีมัสอาศัยอยู่บนเกาะซิซิลี ซึ่ง "อยู่ใกล้เอตนา ฟ้าร้อง" ^[ 114 ]

ตามที่ Thucydides ระบุไว้ ในกรณีของการตีเหล็กของ Hephaestus บนภูเขาไฟ Vulcano ^[ 115 ]การค้นหาตำแหน่งของการตีเหล็กของ Cyclopes อยู่ใต้ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่นั้นได้ให้คำอธิบายสำหรับไฟและควันที่มักปรากฏออกมาจากภูเขาไฟเหล่านั้น^[ 116 ]

ในปี ค.ศ. 1587 นักวาดแผนที่ชาวอิตาลีUrbano Monti ได้วาดภาพ "ไซ คลอปส์" ไว้บนแผนที่โลกบางส่วนที่ระบุว่าเป็นนิวกินี^[ 117 ]

นิรุกติศาสตร์

แก้ไข

สำหรับชาวกรีกโบราณ ชื่อ "ไซโคลปส์" หมายถึง "ดวงตาเป็นวงกลม" หรือ "ดวงตากลม" ^[ 118 ]ที่ได้มาจากคำภาษากรีกkúklos ("วงกลม") ^[ 119 ]และops ("ตา") ^[ 120 ]ความหมายนี้สามารถเห็นได้ตั้งแต่Theogonyของเฮเซียด (ศตวรรษที่ 8-7 ก่อนคริสตกาล) ^[ 121 ]ซึ่งอธิบายว่าไซโคลปส์ถูกเรียกเช่นนั้น "เนื่องจากมีดวงตารูปวงกลมเพียงอันเดียวตั้งอยู่บนหน้าผากของพวกมัน" ^[ 122 ]อดาเบิร์ต คูนได้ขยายความจากนิรุกติศาสตร์ของเฮเซียด และเสนอความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบแรกkúklos (ซึ่งอาจหมายถึง "ล้อ" ได้ด้วย) ^[ 123 ]และ "ล้อแห่งดวงอาทิตย์" ซึ่งก่อให้เกิดความหมายว่า "ล้อ (แห่งดวงอาทิตย์)-ดวงตา" ^[ 124 ]ได้มีการเสนอนิรุกติศาสตร์อื่นๆ ซึ่งได้มาจากคำในภาษากรีกklops ("หัวขโมย") ^[ 125 ]ซึ่งให้ความหมายว่า "หัวขโมยล้อ" หรือได้มาจากคำในภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม*péḱuซึ่งแปลว่า "หัวขโมยวัว" ^[ 126 ]แม้ว่าวอลเตอร์ เบิร์กเคิร์ตจะอธิบายนิรุกติศาสตร์ของเฮเซียดว่า "ไม่น่าดึงดูดใจนัก" ^[ 127 ]คำอธิบายของเฮเซียดยังคงได้รับการยอมรับจากนักวิชาการสมัยใหม่

แหล่งที่มาที่เป็นไปได้

แก้ไข

โครงกระดูก ของ Palaeoloxodon falconeriแสดงให้เห็นช่องจมูกขนาดใหญ่

ต้นกำเนิดที่เป็นไปได้ของไซคลอปส์ตาเดียวได้รับการเสนอโดยนักบรรพชีวินวิทยา Othenio Abel ในปี 1914 Abel เสนอว่ากะโหลกศีรษะฟอสซิลของช้างแคระในยุคไพลสโตซีน ซึ่งมักพบในถ้ำริมชายฝั่งของอิตาลีและกรีก อาจเป็นที่มาของเรื่องราวของโพลีฟีมัส Abel เสนอว่าโพรงจมูกขนาดใหญ่ตรงกลาง (สำหรับลำตัว) ในกะโหลกศีรษะอาจตีความได้ว่าเป็นเบ้าตาขนาดใหญ่เพียงเบ้าเดียว

Cyclopia ซึ่งเป็นข้อบกพร่องแต่กำเนิดที่พบได้ยากอาจทำให้ทารกมีตาข้างเดียว แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ความพิการนี้กับตำนานไซคลอปส์ที่มีตาข้างเดียวจะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ในกรณีดังกล่าว ตาจะอยู่ต่ำกว่าจมูก แทนที่จะอยู่สูงกว่าจมูกตามภาพวาดของชาวกรีกโบราณ 

ตามที่ระบุไว้ข้างต้น วอลเตอร์ เบิร์กเคิร์ตมองเห็นความเป็นไปได้ที่กลุ่มไซคลอปส์แห่งเฮเซียดจะมีสมาคมช่างตีเหล็กโบราณเป็นพื้นฐาน