Anunaki | เทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ

อานุนนาคี

แหล่งที่มา: Wikipedai

Anunnaki (ภาษาสุเมเรียน: 𒀭𒀀𒉣𒈾ถอดความได้อีกว่า Anunaki , Annunaki , Anunna , Ananaki และรูปแบบอื่นๆ) เป็นกลุ่มเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนโบราณ ชาวอัคคาเดียน ชาวอัสซีเรีย และชาวบาบิลอน ในงานเขียนของชาวสุเมเรียนยุคแรกๆ เกี่ยวกับพวกเขา ซึ่งมาจากยุคหลังอัคคาเดียน Anunnaki เป็นเทพเจ้าในวิหารเทพซึ่งเป็นลูกหลานของ An (เทพเจ้าแห่งสวรรค์) และ Ki (เทพีแห่งโลก) และหน้าที่หลักของพวกเขาคือกำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ

รูปหล่อโลหะผสมทองแดง 4 ชิ้นที่เป็นรูปเทพเจ้าเมโสโปเตเมียโบราณสวมมงกุฎมีเขาอันเป็นเอกลักษณ์ ( ประมาณ 2130ปีก่อนคริสตกาล)

เนื้อหา

นิรุกติศาสตร์

ตราประทับรูปทรงกระบอก ของชาว อัคคาเดียน ที่เป็น รูปเทพีแห่งพืชพันธุ์อาจเป็นนินฮูร์ซัก นั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยมีผู้บูชารายล้อมอยู่ ( ประมาณ 2350–2150ปีก่อนคริสตกาล)

ชื่อ Anunnaki มาจากคำว่า An ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าของชาวสุเมเรียน โดยชื่อดังกล่าวเขียนไว้หลายแบบ เช่น " ^d a-nuna", " ^d a-nuna-ke ₄ -ne" หรือ " ^d a-nun-na" ซึ่งหมายถึง "ลูกหลานของเจ้าชาย" หรือ "ลูกหลานของ An" 

Anunnaki เชื่อกันว่าเป็นลูกหลานของAn และเทพีแห่งโลก Ki; Samuel Noah Kramer ระบุว่า Ki เป็นเทพีแห่งสุเมเรียน Ninhursag โดยระบุว่าเดิมทีพวกเขามีรูปร่างเดียวกัน Anunnaki ที่เก่าแก่ ที่สุดคือ Enlil เทพแห่งอากาศ และเทพสูงสุดของวิหารสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าจนกระทั่ง Enlil ถือกำเนิด สวรรค์และโลกแยกจากกันไม่ได้ จากนั้น Enlil ก็แยกสวรรค์และโลกออกเป็นสองส่วน และพัดพาโลกไป ในขณะที่ An พ่อของเขาพัดพาท้องฟ้าไป

การบูชาและสัญลักษณ์

Anunnaki ถูกกล่าวถึงเป็นหลักในวรรณกรรม และหลักฐานน้อยมากที่จะสนับสนุนการมีอยู่ของลัทธิบูชาของพวกเขาได้ถูกขุดค้นขึ้นมา เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะสมาชิกแต่ละคนของ Anunnaki มีลัทธิบูชาของตนเองแยกจากคนอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน ยังไม่มีการค้นพบการแสดงถึง Anunnaki ในฐานะกลุ่มที่สมบูรณ์ แม้ว่าจะมีการระบุภาพสมาชิกแต่ละคนสองหรือสามคนร่วมกัน เทพเจ้าในเมโสโปเตเมียโบราณเกือบทั้งหมดมี ลักษณะ เหมือนมนุษย์ พวกเขาถูกคิดว่ามีพลังพิเศษ และมักจินตนาการว่ามีขนาดใหญ่โตมโหฬาร โดยทั่วไปเทพเจ้าจะสวมเมลามซึ่งเป็นสารคลุมเครือที่ "ปกคลุมพวกเขาด้วยความงดงามน่าสะพรึงกลัว"  วีรบุรุษ กษัตริย์ ยักษ์ และแม้แต่ปีศาจยังสามารถสวมใส่เมลาม ได้  ผลกระทบที่มนุษย์ได้รับ จากการเห็น เมลาม ของเทพเจ้าถูกอธิบายว่าเป็น niซึ่งเป็นคำที่หมายถึงอาการเสียวซ่านของเนื้อหนัง เทพเจ้าส่วนใหญ่มักจะสวมหมวกที่มีเขา ซึ่งประกอบด้วยเขาควายทับซ้อนกันถึง 7 คู่ บางครั้งพวกเขายังสวมเสื้อผ้าที่ประดับด้วยเครื่องประดับทองและเงินอย่างประณีตอีกด้วย

ชาวเมโสโปเตเมียโบราณเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขาอาศัยอยู่ในสวรรค์ หลังจากประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ของการมาเยือนโลกในตำราตำนาน และรูปปั้นของพระเจ้าคือตัวแทนของเทพเจ้าเอง ดังนั้นรูปปั้นลัทธิ จึง ได้รับการดูแลและเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง และมีการมอบหมายให้นักบวชชุดหนึ่งดูแลรูปปั้น นักบวชเหล่านี้จะแต่งกายรูปปั้น และจัดงานเลี้ยงต่อหน้าพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ "กิน" เชื่อกันว่า วิหารของเทพเจ้าคือสถานที่ประทับแท้จริงของเทพเจ้านั้น เทพเจ้ามีเรือซึ่ง เป็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดเต็มที่ปกติจะเก็บไว้ในวิหารของพวกเขา และใช้ในการขนรูปปั้นลัทธิไปตามทางน้ำในช่วงเทศกาลทางศาสนาต่างๆ เทพเจ้ายังมีรถศึกซึ่งใช้สำหรับขนย้ายรูปปั้นบูชาของพวกเขาทางบก บางครั้งรูปปั้นบูชาของเทพเจ้าจะถูกขนย้ายไปยังสถานที่ที่เกิดการต่อสู้เพื่อให้เทพเจ้าสามารถเฝ้าดูการต่อสู้ดำเนินไป เทพเจ้าหลักในวิหารเทพเจ้าเมโสโปเตเมีย ซึ่งรวมถึงอนุนนาคี เชื่อกันว่ามีส่วนร่วมใน "การประชุมของเทพเจ้า" ซึ่งเทพเจ้าใช้ตัดสินใจเรื่องต่างๆ การประชุมนี้ถือเป็นคู่ขนานของเทพเจ้ากับระบบนิติบัญญัติแบบกึ่งประชาธิปไตยที่มีอยู่ในสมัยราชวงศ์ที่สามของอูร์ ( ประมาณ 2112 ปีก่อนคริสตกาล – ประมาณ 2004 ปีก่อนคริสตกาล)

ตำนาน

สุเมเรียน

ตราประทับรูปทรงกระบอกของชาวอัคคาเดียนซึ่งมีอายุย้อนไปถึงประมาณ 2300 ปีก่อนคริสตกาล แสดงถึงเทพเจ้าอินันนา อูตู และเอนกิ ซึ่งเป็นสมาชิก 3 คนของอนุนนากิ

การใช้คำว่าAnunnaki ที่เก่าแก่ที่สุดที่ทราบนั้น มาจากจารึกที่เขียนขึ้นในรัชสมัยของ Gudea ( ประมาณ 2144–2124 ปีก่อนคริสตกาล) และราชวงศ์ที่สามของ Ur ในข้อความแรกสุด คำนี้ใช้กับเทพเจ้าที่ทรงพลังและสำคัญที่สุดในวิหารเทพเจ้าสุเมเรียน: ลูกหลานของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า An กลุ่มของเทพเจ้าเหล่านี้อาจรวมถึง "เทพเจ้าทั้งเจ็ดผู้กำหนด": An , Enlil , Enki , Ninhursag , Nanna , Utuและ: An , Enlil , Enki , Ninhursag , Nanna , Utuและ Inanna 

แม้ว่าเทพเจ้าบางองค์จะได้รับการอธิบายว่าเป็นสมาชิกของ Anunnaki แต่ไม่มีรายชื่อที่สมบูรณ์ของชื่อ Anunnaki ทั้งหมดที่เหลืออยู่ และโดยปกติแล้วจะเรียกพวกเขาเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกันในข้อความวรรณกรรมเท่านั้น นอกจากนี้ ข้อความสุเมเรียนอธิบายถึง Anunnaki อย่างไม่สอดคล้องกัน และไม่เห็นด้วยว่ามี Anunnaki จำนวนเท่าใด หรือหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาคืออะไร เดิมที Anunnaki ดูเหมือนจะเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์ที่มีพลังมหาศาล ในบทกวี Enki and the World Order Anunnaki "แสดงความเคารพ" ต่อ Enki ร้องเพลงสรรเสริญเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา และ "ย้ายไปอยู่อาศัย" ท่ามกลางผู้คนแห่งสุเมเรียน บทประพันธ์เดียวกันนี้ระบุสองครั้งว่า Anunnaki "กำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ"

เทพสำคัญแทบทุกองค์ในวิหารสุเมเรียนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อุปถัมภ์เมืองใดเมืองหนึ่ง และคาดหวังว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของเมืองนั้น เชื่อกันว่าเทพองค์นี้สถิตอยู่ในวิหารของเมืองนั้นอย่างถาวร ^มีข้อความหนึ่งกล่าวถึง Anunnaki มากถึงห้าสิบองค์ที่เกี่ยวข้องกับเมือง Eridu ใน Descent into the Netherworld ของ Inanna มี Anunnaki เพียงเจ็ดองค์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ใน Underworld และทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา Inanna ถูกพิจารณาคดีต่อหน้าพวกเขาในข้อหาพยายามยึดครอง Underworld;  พวกเขาถือว่าเธอมีความผิดฐานหยิ่งยโสและตัดสินประหารชีวิตเธอ

เทพเจ้าสำคัญในตำนานสุเมเรียนมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุท้องฟ้าเฉพาะ เชื่อกันว่าอินันนาเป็นดาวศุกร์; ^{เชื่อ}กันว่าอูตูเป็นดวงอาทิตย์ นันนาเป็นดวงจันทร์ อันถูกระบุด้วยดวงดาวทั้งหมดในท้องฟ้าบริเวณเส้นศูนย์สูตร เอนลิลกับดวงดาวบนท้องฟ้าทางเหนือ และ เอนกิกับดวงดาวบนท้องฟ้าทางใต้; ^{เส้นทาง}การโคจรบนท้องฟ้าของเอนลิลเป็นวงกลมที่ต่อเนื่องและสมมาตรรอบขั้วฟ้าเหนือ ^แต่เชื่อกันว่าวงกลมของอันและเอนกิจะตัดกันที่จุดต่างๆ

อัคคาเดียน บาบิลอน และอัสซีเรีย

ความเคารพนำมาซึ่งความโปรดปราน การเสียสละยืดอายุ และการอธิษฐานช่วยลบล้างความผิด ผู้ที่เกรงกลัวเทพเจ้าจะไม่ถูกดูหมิ่นโดย [...] ผู้ที่เกรงกลัวอนุนนาคีจะยืดอายุ [ของเขา]

—  บทเพลงสรรเสริญบาบิลอน^[ 42 ]

ตัวแทนของเทพเจ้าประจำชาติ มาร์ดุก แห่งบาบิลอน ซึ่งชาวบาบิลอนและอัสซีเรียมองว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญของอนุนนาคี

ข้อความภาษาอัคคาเดียนในช่วงสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาลนั้นได้ถ่ายทอดเรื่องราวของชาวอนุนนากิในหนังสือInanna's Descent into the Netherworld ไว้ในลักษณะเดียวกัน โดยบรรยายถึงพวกเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพ ในหนังสือInanna's Descent ฉบับ อัคคาเดียนที่เขียนขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษที่ 2 เอเรชคิกัล ​​ราชินีแห่งโลกใต้พิภพได้แสดงความคิดเห็นว่าพระองค์ "ดื่มน้ำร่วมกับชาวอนุนนากิ" ^[ 43 ]ต่อมาในบทกวีเดียวกันนี้ เอเรชคิกัลได้สั่งให้นัมทาร์ คนรับใช้ของเธอ ไปนำชาวอนุนนากิมาจากเอกัลจินา^[ 44 ] "ประดับบันไดธรณีประตูด้วยปะการัง" ^[ 44 ]และ "ให้นั่งบนบัลลังก์ทองคำ" ^[ 44 ]

ในช่วงยุคบาบิลอนเก่า ( ประมาณ 1830 ปีก่อนคริสตกาล - ประมาณ 1531 ปีก่อนคริสตกาล) มีการแนะนำเทพเจ้าชุดใหม่ที่เรียกว่าIgigi ^[ 45 ]ความสัมพันธ์ระหว่าง Anunnaki และ Igigi ยังไม่ชัดเจน^[ 11 ]ในบางโอกาส หมวดหมู่ดูเหมือนจะถูกใช้เป็นคำพ้องความหมาย^{[ 9 ] [ 11 ]}แต่ในงานเขียนอื่นๆ เช่นบทกวีของ Erraมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างทั้งสอง^{[ 9 ] [ 11 ]}ในมหา กาพย์ Atra-Hasis ของชาวอัคคาเดียนตอนปลาย Igigi เป็นเทพเจ้ารุ่นที่หกที่ถูกบังคับให้ทำงานให้กับ Anunnaki ^{[ 46 ] [ 47 ]}หลังจากผ่านไปสี่สิบวัน กบฏ Igigi และเทพเจ้าEnkiซึ่งเป็นหนึ่งใน Anunnaki ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อทดแทนพวกเขา^{[ 46 ] [ 47 ]}

ตั้งแต่ช่วงกลางของอาณาจักรบาบิลอน ( ประมาณ 1592 - 1155 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นต้นมา ชื่อAnunnakiถูกนำมาใช้เรียกเทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพโดยทั่วไป^[ 2 ]ในขณะที่ชื่อIgigiถูกนำมาใช้เรียกเทพเจ้าแห่งสวรรค์^[ 2 ]ในช่วงเวลานี้ เทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพอย่าง Damkina , Nergalและ Madānu ถูกระบุว่าเป็นเทพเจ้าที่ทรงพลังที่สุดในหมู่ Anunnaki ^[ 2 ]ร่วมกับMardukซึ่งเป็นเทพเจ้าประจำชาติของบาบิลอนโบราณ^[ 2 ]

ในมหา กาพย์กิลกาเมชของ อัคคา เดียนมาตรฐาน( ประมาณ 1200 ปีก่อนคริสตกาล) อุตนาพิชติมผู้รอดชีวิตอมตะจากอุทกภัยครั้งใหญ่บรรยายถึงอนุนนาคีว่าเป็นผู้พิพากษาเจ็ดคนแห่งยมโลก ผู้จุดไฟเผาแผ่นดินเมื่อพายุใกล้เข้ามา^[ 48 ]ต่อมา เมื่ออุทกภัยเกิดขึ้นอิชทาร์ (ภาษาเซมิติกตะวันออกเทียบเท่ากับอินันนา) และอนุนนาคีโศกเศร้ากับการทำลายล้างมนุษยชาติ^{[ 9 ] [ 49 ]}

ในEnûma Eliš ของชาวบาบิลอน มาร์ดุกได้มอบหมายตำแหน่งให้แก่อนุนนากิ^[ 50 ]มหากาพย์ฉบับบาบิลอนตอนปลายกล่าวถึงอนุนนากิ 600 คนจากยมโลก^[ 2 ]แต่มีเพียงอนุนนากิแห่งสวรรค์ 300 คน^[ 2 ]ซึ่งบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของจักรวาลวิทยา ใน ยมโลก ที่ซับซ้อน ^[ 2 ]ด้วยความขอบคุณ อนุนนากิ "เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่" ได้สร้างเอซากิลา ซึ่งเป็นวิหาร "ที่งดงาม" ที่อุทิศให้กับมาร์ดุก อีอา และเอลลิล^[ 51 ] ใน บทกวีของเออร์ราในศตวรรษที่แปดก่อนคริสตกาลอนุนนากิได้รับการอธิบายว่าเป็นพี่น้องของเทพเจ้าเนอร์กัล^[ 9 ]และถูกพรรณนาว่าเป็นศัตรูกับมนุษยชาติ^[ 9 ]

ข้อความที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากยุคนีโออัสซีเรีย (911 - 612 ปีก่อนคริสตกาล) บรรยายว่ามาร์ดุกนำกองทัพอนุนนากิของเขาเข้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์นิปปูร์และก่อให้เกิดความไม่สงบ^[ 52 ]ความไม่สงบทำให้เกิดน้ำท่วม^[ 52 ]ซึ่งบังคับให้เทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในนิปปูร์ไปหลบภัยในวิหารเอชูเมชาที่นินูร์ตา [ ^{52 ] เอน}ลิลโกรธในความผิดของมาร์ดุกและสั่งให้เทพเจ้าแห่งเอชูเมชาจับมาร์ดุกและอนุนนากิคนอื่นๆ ไปเป็นเชลย^[ 52 ]พวกอนุนนากิถูกจับ^[ 52 ]แต่มาร์ดุกแต่งตั้งมุชเตชีร์ฮาบลิมผู้เป็นตัวเต็งของเขาให้เป็นผู้นำการก่อกบฏต่อต้านเทพเจ้าแห่งเอชูเมชา^[ 53 ]และส่งเนเรตักมิลผู้ส่งสารของเขาไปแจ้งเตือนนาบูเทพเจ้าแห่งการรู้หนังสือ^[ 53 ]เมื่อเทพเจ้าแห่งเอชูเมชาได้ยินนาบูพูด พวกเขาก็ออกจากวิหารเพื่อตามหาเขา^[ 54 ]มาร์ดุกเอาชนะเทพเจ้าแห่งเอชูเมชาและจับพวกเขาไปเป็นเชลยศึก 360 คน รวมถึงเอนลิลเองด้วย^[ 54 ]เอนลิลประท้วงว่าเทพเจ้าแห่งเอชูเมชาเป็นผู้บริสุทธิ์^[ 54 ]ดังนั้นมาร์ดุกจึงนำพวกเขาไปพิจารณาคดีต่อหน้าอนุนนาคี^[ 54 ]ข้อความจบลงด้วยคำเตือนจากดัมเกียนนา (อีกชื่อหนึ่งของนินฮูร์ซาก) ถึงเทพเจ้าและมนุษยชาติ โดยขอร้องพวกเขาไม่ให้ทำสงครามระหว่างอนุนนาคีกับเทพเจ้าแห่งเอชูเมชาซ้ำอีก^[ 54 ]

ฮูเรียนและฮิตไทต์

รูปแกะสลักนูนต่ำของชาวฮิตไทต์โบราณจากYazılıkayaซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่Hattusaแสดงให้เห็นเทพเจ้าแห่งยมโลกทั้งสิบสององค์^{[ 55 ] [ การตรวจยืนยันล้มเหลว ]}ซึ่งชาวฮิตไทต์ระบุว่าเป็น Anunnaki แห่งเมโสโปเตเมีย^{[ 56 ] [ 57 ]}

ในตำนานของชาวฮูร์เรียนและฮิตไทต์ (ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในช่วงกลางถึงปลายสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล) เชื่อกันว่าเทพเจ้ารุ่นเก่าแก่ที่สุดนั้นถูกเทพเจ้ารุ่นเยาว์เนรเทศไปยังยมโลก^{[ 56 ] [ 58 ]}ซึ่งพวกเขาถูกปกครองโดยเทพธิดาเลลวานี [ ^{58 ] นัก}เขียนชาวฮิตไทต์ระบุว่าเทพเจ้าเหล่านี้คือพวกอนุนนาคี^{[ 56 ] [ 57 ]}ในฮูร์เรียนโบราณอนุนนาคีถูกเรียกว่าkaruileš šiunešซึ่งแปลว่า "เทพเจ้าโบราณในอดีต" ^[ 59 ]หรือkattereš šiunešซึ่งแปลว่า "เทพเจ้าแห่งโลก" ^[ 59 ]สนธิสัญญาระหว่างฮิตไทต์และฮูร์เรียนมักสาบานโดยเทพเจ้าโบราณเพื่อให้แน่ใจว่าจะรักษาคำสาบานไว้^{[ 56 ] [ 59 ]}ในตำนานหนึ่ง เหล่าทวยเทพถูกคุกคามโดยยักษ์หินอุลลิกุมมิ [ ^{60 ] ดังนั้น}เออา (ชื่อต่อมาของเอนกิ) จึงบัญชาให้เหล่าทวยเทพในอดีตค้นหาอาวุธที่ใช้แยกสวรรค์ออกจากโลก^{[ 56 ] [ 61 ]}พวกเขาพบมันและใช้มันตัดเท้าของอุลลิกุมมิ^[ 61 ]

แม้ว่าชื่อของ Anunnaki ในข้อความ Hurrian และ Hittite จะแตกต่างกันบ่อยครั้ง^[ 57 ]พวกมันมักจะมีจำนวนแปดตัว^[ 57 ]ในพิธีกรรมหนึ่งของ Hittite ชื่อของเทพเจ้าโบราณถูกระบุไว้ดังนี้: "Aduntarri ผู้ทำนาย, Zulki ผู้แปลความฝัน, Irpitia เจ้าแห่งโลก, Narā, Namšarā, Minki, Amunki และ Āpi" ^[ 57 ]เทพเจ้าโบราณไม่มีลัทธิที่ระบุตัวตนได้ในศาสนา Hurrio-Hittite ^[ 57 ]ในทางกลับกัน Hurrians และ Hittite พยายามสื่อสารกับเทพเจ้าโบราณผ่านพิธีกรรมการสังเวยลูกหมู^ในหลุมที่ขุดไว้ในพื้นดิน^[ 62 ]เทพเจ้าโบราณมักถูกเรียกมาเพื่อทำการชำระล้างพิธีกรรม^[ 63 ]

บันทึกของชาวฮิตไทต์เกี่ยวกับการเนรเทศเทพเจ้าโบราณไปยังยมโลกมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับเรื่องเล่าของเฮเซียด กวีกรีก เกี่ยวกับการโค่นล้ม ไททันโดยชาวโอลิมเปียนในหนังสือTheogony [ ^{64 ] อู}รานอสเทพแห่งท้องฟ้าของกรีก(ซึ่งชื่อหมายถึง "สวรรค์") เป็นบิดาของไททัน^[ 65 ]และได้มาจาก Anu เวอร์ชันของชาวฮิตไทต์^[ 66 ]ในบันทึกของเฮเซียด อูรานอสถูกตอนโดยโครนัส ลูกชายของเขา[ 67 ^{]เช่นเดียว}กับที่ Anu ถูกตอนโดยกุมารบี ลูกชายของเขา ในเรื่องราวของชาวฮิตไทต์^[ 68 ]

โบราณคดีเทียมและทฤษฎีสมคบคิด

บทความหลัก: นักบินอวกาศในสมัยโบราณ

 นักโบราณคดีเทียมชื่อเอริช ฟอน ดานิเคนอ้างว่ามี "นักบินอวกาศโบราณ" จากนอกโลกมาเยือนโลกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหนังสือชุดที่ตีพิมพ์ (เริ่มด้วย  Chariots of the Gods ในปี 1968) ดานิเคนอธิบายที่มาของศาสนาว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดต่อกับ เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวและเสนอการตีความข้อความสุเมเรียนและพันธสัญญาเดิมเป็นหลักฐาน^{[ 69 ] [ 70 ] [ 71 ]}

ในหนังสือของเขาเรื่องThe Twelfth Planet ในปี 1976 ผู้เขียนZecharia Sitchinอ้างว่า Anunnaki นั้นเป็น เผ่าพันธุ์ มนุษย์ต่างดาวขั้นสูงจากดาวเคราะห์Nibiru ที่ยังไม่ค้นพบ ซึ่งมายังโลกเมื่อประมาณ 500,000 ปีก่อน และสร้างฐานปฏิบัติการเพื่อขุดทองคำหลังจากค้นพบว่าดาวเคราะห์นี้อุดมไปด้วยโลหะมีค่า^{[ 69 ] [ 70 ] [ 72 ]}ตามที่ Sitchin กล่าว Anunnaki ได้ผสมพันธุ์สายพันธุ์ของพวกเขากับHomo erectusโดยการปฏิสนธิในหลอดแก้วเพื่อสร้างมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ทาสของคนงานเหมือง^{[ 69 ] [ 70 ] [ 72 ]} Sitchin อ้างว่า Anunnaki ถูกบังคับให้ออกจากพื้นผิวโลกชั่วคราวและโคจรรอบโลกเมื่อธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกาละลาย ทำให้เกิดมหาอุทกภัย [ ^{73 ] ซึ่ง}ยังทำลายฐานทัพของ Anunnaki บนโลกด้วย^[ 73 ]สิ่งเหล่านี้จะต้องได้รับการสร้างขึ้นใหม่ และชาวอนุนนาคีต้องการมนุษย์มากขึ้นเพื่อช่วยในความพยายามอันยิ่งใหญ่นี้ จึงได้สอนให้มนุษย์ทำเกษตรกรรม^[ 73 ]

Ronald H. Fritzeเขียนว่า ตามที่ Sitchin กล่าวไว้ "Anunnaki สร้างพีระมิดและโครงสร้างอนุสรณ์สถานอื่น ๆ ทั้งหมดจากทั่วโลกโบราณที่ นักทฤษฎี อวกาศในสมัยโบราณมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างได้หากไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูง" ^[ 69 ] Sitchin ได้ขยายความเกี่ยวกับตำนานนี้ในผลงานหลัง ๆ รวมถึงThe Stairway to Heaven (1980) และThe Wars of Gods and Men (1985) ^[ 74 ]ในThe End of Days: Armageddon and the Prophecy of the Return (2007) Sitchin ทำนายว่า Anunnaki จะกลับมายังโลกอาจเร็วที่สุดในปี 2012ซึ่งตรงกับจุดสิ้นสุดของปฏิทินนับยาวของ Mesoamerican ^{[ 70 ] [ 74 ]}งานเขียนของ Sitchin ถูกปฏิเสธโดยนักประวัติศาสตร์กระแสหลักโดยทั่วไป ซึ่งได้เรียกหนังสือของเขาว่าเป็นโบราณคดีเทียม^[ 75 ]โดยยืนยันว่า Sitchin ดูเหมือนจะจงใจบิดเบือนข้อความสุเมเรียนโดยอ้างอิงข้อความเหล่านั้นโดยไม่ได้คำนึงถึงบริบท ตัดทอนข้อความที่อ้าง และแปลคำสุเมเรียนผิดเพื่อให้มีความหมายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคำจำกัดความที่ยอมรับกัน^[ 76 ]

เดวิด อิคเก้นักทฤษฎีสมคบคิดชาวอังกฤษผู้เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานอ้างว่าเจ้าพ่อสัตว์เลื้อยคลานในทฤษฎีของเขาคืออนุนนาคี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของซิทชินอย่างชัดเจน อิคเก้ดัดแปลงงานเขียนของเขา "เพื่อสนับสนุนยุคใหม่และแผนการสมคบคิดของเขาเอง" ^[ 77 ]การคาดเดาของอิคเก้เกี่ยวกับอนุนนาคีผสมผสานมุมมองขวาจัดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยตั้งสมมติฐานว่าเผ่าพันธุ์อารยันผู้ยิ่งใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอนุนนาคี^[ 78 ]นอกจากนี้ยังผสมผสานมังกรแดร็กคูลาและกฎหมายเผด็จการ^[ 79 ] ทั้ง สามองค์ประกอบนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันด้วยความคล้ายคลึงทางภาษาที่ผิวเผินเท่านั้น เขาได้กำหนดมุมมองเกี่ยวกับอนุนนาคีในช่วงทศวรรษ 1990 และได้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับทฤษฎีของเขา^[ 80 ]

ดูเพิ่มเติม

• ศาสนาเมโสโปเตเมียโบราณ
• เอซิร์
• เทวะ (ศาสนาฮินดู)
• ดิงกิร์
• เอโลฮิม
• ฮูเตนา
• เอริดู เจเนซิส
• มหากาพย์กิลกาเมซ
• กิลกาเมซอยู่ที่ไหน?
• ทัวทา เด ดานัน
• นักกีฬาโอลิมปิกสิบสองคน